จอยพวงมาลัย Direct drive
จอยพวงมาลัย Direct drive

จอยพวงมาลัย Direct Drive คืออะไร?

จอยพวงมาลัยทั่วไปสร้างแรงบิดได้ประมาณ 3.8 นิวตันเมตร (T300) ในขณะที่ DD สามารถสร้างแรงบิดสูงสุด 25 นิวตันเมตรสิ่งนี้จึงเพิ่มประสบการณ์การแข่งรถเหมือนจริงอย่างมากพวงมาลัยสามารถถ่ายทอดลักษณะการควบคุมที่ละเอียดอ่อนที่สุด รายละเอียดถนนและพื้นผิวที่สลับซับซ้อนการเปลี่ยนแปลงของความเฉื่อยในรถขณะเข้าโค้ง ตลอดจนความแตกต่างที่ละเอียดอ่อนอื่นๆ ที่จอยพวงมาลัยยอดฮิตในตลาดไม่สามารถทำได้

Simagic m10

ภาพจอยพวงมาลัย Direct Drive

โดยทั่วไปแล้ว มอเตอร์เหล่านี้จะมีขนาดใหญ่กว่าพวกจอยพวงมาลัยยอดฮิตต่างๆในตลาด และสร้างแรงบิดได้มากกว่าจอยพวงมาลัยทั่วไปสร้างแรงบิดได้ประมาณ 3.8 นิวตันเมตร (T300) ในขณะที่ DD สามารถสร้างแรงบิดสูงสุด 25 นิวตันเมตร

Thrustmaster T300 RS-GT Edition

ภาพจอยพวงมาลัย Thrustmaster T300

จอยพวงมาลัยยอดฮิตส่วนใหญ่ เช่น Logitech G29 และ Thrustmaster T300 ใช้สายพานหรือระบบเกียร์ร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้าเพื่อให้แรงป้อนกลับมาที่พวงมาลัย ในทางกลับกัน จอยพวงมาลัยแบบ DD (Direct Drive) โดยพื้นฐานแล้วคือพวงมาลัยที่ติดตั้งกับมอเตอร์โดยตรง ซึ่งหมายความว่าผู้ใช้งาน จะสัมผัสได้ถึงแรงของมอเตอร์ไฟฟ้าโดยตรงเนื่องจากมีไม่มีส่วนทดแรงอื่นๆเลย โดยทั่วไปแล้ว มอเตอร์เหล่านี้จะมีขนาดใหญ่กว่าพวกจอยพวงมาลัยยอดฮิตต่างๆในตลาด และสร้างแรงบิดได้มากกว่าเป็นมอเตอร์ที่ใช้ในอุตสาหกรรม เครื่อง CNC หรือแม้แต่แขนกล

Servo แบบเดียวกับแขนกลในโรงงาน

ทำไมต้องเป็นจอยพวงมาลัย DIRECT DRIVE?

ประโยชน์หลักของจอยพวงมาลัยระบบขับเคลื่อนโดยตรงคือการรับรู้ถึงรายละเอียดต่างๆเมื่อเทียบกับจอยพวงมาลัยที่ขับเคลื่อนด้วยเกียร์หรือสายพานเนื่องจากให้การจำลองพวงมาลัยที่แม่นยำยิ่งขึ้น แม้ว่าพวงมาลัยขับเคลื่อนโดยตรงไม่จำเป็นต้องทำให้ผู้ใช้เป็นคนขับที่เร็วขึ้น แต่ก็อาจทำให้พวงมาลัยขับเคลื่อนสอดคล้องกันมากขึ้น จอยพวงมาลัยนั้นให้จำไว้ว่าเหมือนรถยนต์ ที่ซื้อครั้งเดียว แล้วใช้ยาวๆ ไม่เปลี่ยนอีก แล้วเทคโนโลยีจอยพวงมาลัย ก็เหมือนกับบ้าน ที่มันตันแล้ว อัพเกรดมาขึ้นก็แค่มอเตอร์ แต่สุดท้ายแล้ว ตัวอย่างที่มีให้เห็น Thrustmaster T300 ผลิตครั้งแรก ปี2016 ปัจจุบันยังไม่มีตัวใหม่มาแทน แล้วยังขายได้ดีอยู่ ไม่มีเทคโนโลยีที่พัฒนาไปมากกว่านี้แล้ว การตัดสินใจซื้อจอยพวงมาลัยครั้งหนึ่ง ถือเป็นการตัดสินใจที่สำคัญเนื่องจากระดับของแรงพวงมาลัยเหล่านี้ ผู้ขับขี่จะสามารถจับอาการอันเดอร์สเตียร์ โอเวอร์สเตียร์ และลักษณะการควบคุมอื่นๆ ได้ง่ายขึ้นมากเนื่องจากการควบคุมรถนั้นคาดเดาได้มากกว่า ผู้ขับขี่จะสามารถหลีกเลี่ยงข้อผิดพลาดได้ง่ายขึ้น ดังนั้นจึง ทำความเร็วในสนามได้มากขึ้นเหมาะกับการฝึกขับได้อย่างดี